CIMBT ยังคงเป้า GDP 1.8% แต่เก็ง Q3 ส่อเดือดดั่งงูไฟ การเมืองกดดันหลังปิดสวิทช์นายกฯ

03 กรกฎาคม 2568
CIMBT ยังคงเป้า GDP 1.8% แต่เก็ง Q3 ส่อเดือดดั่งงูไฟ การเมืองกดดันหลังปิดสวิทช์นายกฯ
นายอมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้เผชิญแรงกดรอบด้านเดือดดาลเหมือนงูไฟ ทั้งอสังหาริมทรัพย์ซบเซา นักท่องเที่ยวหาย การบริโภคแผ่ว ตลาดยานยนต์ซึม กำลังซื้ออ่อนแอ สินเชื่อหดตัว อัตราดอกเบี้ยสูง เงินบาทแข็งกระทบส่งออก การเมืองสั่นคลอน ปัจจัยต่างประเทศร้อนแรง

ในฉากทัศน์นี้ กรณีฐาน (Base case) คาด GDP ปีนี้โตแค่ 1.8% เข้าข่ายเศรษฐกิจชะงักงัน และอาจเสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอยทางเทคนิค

หาก GDP หดตัวต่อเนื่องสองไตรมาสติดใน Q3 และ Q4 โดยเฉพาะหากปัจจัยลบหนักกว่าคาด เช่น สงครามน้ำมัน ราคาน้ำมันพุ่ง หรือการเมืองไทยยืดเยื้อ ยิ่งกดดันเศรษฐกิจให้ขยายตัวต่ำสุดเหลือเพียง 1.4%

กรณีดีที่สุด (Upside) หากส่งออกฟื้นมาตรการกระตุ้นกระจายตัวได้จริง การเมืองไม่ป่วน และน้ำมันลดราคา GDP มีโอกาสโตได้สูงสุดราว 2.3%
"ไม่ว่าฉากทัศน์ไหน จะรุ่ง รอด หรือริ่ง สัญญาณชัดคือเศรษฐกิจไทยยังเสี่ยงโตต่ำต่อเนื่องไปถึงปีหน้า หากยังไม่เร่งแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างจริงจัง และยั่งยืนซึ่งจะทำให้ไทยสูญเสียความน่าสนใจในการลงทุนจากต่างชาติ" นายอมรเทพ กล่าว

นายอมรเทพ ระบุว่า เศรษฐกิจไทยกำลังก้าวเข้าสู่ครึ่งหลังของปีงูด้วยการเผชิญเรื่องร้อนๆ อย่างเต็มแรง และเสี่ยงเติบโตช้าลงช่วงครึ่งปีหลัง แต่สำนักวิจัยฯยังคงคาดการณ์ GDP ปี 68 ไว้ที่ 1.8% แม้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะปรับการคาดการณ์ไปสู่ระดับ 2.3% จาก 2.0% จากแรงส่งที่แรงกว่าคาดของ GDP ไตรมาส 1/68 ที่ขยายตัวถึง 3.1% และส่งออกที่เติบโตได้ดี

แต่หากพิจารณาสถานการณ์ไตรมาส 2 และแนวโน้มไตรมาส 3 แล้ว ยากจะเชื่อมั่นถึงการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ เพราะความเดือดดาลทางการเมืองระหว่างประเทศและในประเทศค่อนข้างฉุดรั้งความเชื่อมั่น นอกจากนี้ คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายสู่ระดับ 1.50% ปลายไตรมาส 3 และ 1.25% ปลายปีนี้ ส่วนค่าเงินบาทน่าอยู่ที่ระดับ 32.90 ปลายไตรมาส 3

และ 33.30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐสิ้นปีนี้
*เศรษฐกิจไทยชะงักงัน

เศรษฐกิจไทยไตรมาส 1/68 เติบโต 3.1% จากกรณีพิเศษ จึงไม่อยากให้ดีใจมากนัก ทั้งมาจากมาตรการแจกเงินภาครัฐและการเร่งส่งออกไปสหรัฐก่อนมาตรการภาษี แต่ย่างเข้าไตรมาส 2 เริ่มเห็นความเสี่ยงปะทุเข้ามาจากปัจจัยสงครามการค้า ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง และปัญหาเสถียรภาพการเมืองในประเทศ

ทั้งนี้ คาดว่าเศรษฐกิจไทยไตรมาส 2/68 เทียบไตรมาส 1/68 ไม่น่าจะขยายตัวเลย แต่ไตรมาส 2 ปีนี้เทียบปีก่อน น่าจะขยายตัว 2.2% ซึ่งสภาพัฒน์ฯจะรายงานตัวเลขเศรษฐกิจอีกครั้งวันที่ 18 ส.ค.68 คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเข้าสู่ภาวะชะงักงันลากยาวตลอดทั้งปีส่งผลให้เศรษฐกิจไตรมาส 3 และ 4 แบบ YoY จะโตเพียง 1.1% และ 0.7% ตามลำดับ เป็นที่มาของการยืนคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2568 ที่ 1.8% เทียบปีก่อนที่ 2.5%

แล้วปัจจัยเสี่ยงมาจากไหนบ้าง

*แผ่นดินไหวทำการก่อสร้างทรุดลากยาว

เหตุการณ์แผ่นดินไหวปลาย มี.ค.ส่งผลกระทบแรงกว่าที่คาด การก่อสร้างภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะโครงการคอนโดมิเนียมหยุดชะงัก หรือแทบไม่มีโครงการใหม่ออกมาเลยในช่วงไตรมาส 2 และน่าจะลากยาวไปตลอดไตรมาส 3 ทั้งปัญหาความเชื่อมั่นการอยู่อาศัยในตึกสูง ความกังวลด้านความเสี่ยงสินเชื่อ ปัญหาผู้ประกอบการขาดสภาพคล่อง อุปทานส่วนเกินยังล้นตลาด อัตราการปฏิเสธสินเชื่อที่อยู่อาศัยสูงขึ้น และกำลังซื้อต่างชาติที่เคยเป็นแรงหนุนของตลาดก็หดหายไปตามสภาพเศรษฐกิจโลกที่ผันผวนด้วย

ทั้งนี้ การก่อสร้างภาคเอกชนมีโอกาสหดตัวตลอดทั้งปีกระทบการจ้างงานและธุรกิจเกี่ยวเนื่อง ผู้ประกอบการหั่นราคาเพื่อระบายห้องชุดเพื่อตุนสภาพคล่องกระทบราคาตลาดที่อยู่อาศัยโดยรวม และคุณภาพสินเชื่อในอนาคต จึงต้องระวังสงครามราคาที่อยู่อาศัย

แต่จุดที่เป็นโอกาส คือ คอนโดมิเนียมเพื่อการลงทุนปล่อยเช่าที่มีทำเลที่ดี ได้แก่ คอนโดมิเนียมใกล้แนวรถไฟฟ้าสายหลัก เช่น สายสีเขียว หรือสีน้ำเงิน หรือคอนโดมิเนียมตามโซนเมืองชั้นในและชั้นกลางที่ราคาน่าสนใจ เช่น ไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อยูนิต ก็พอสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ หรือหากลงทุนเพื่ออยู่อาศัยเองก็น่าหาแนวรถไฟฟ้าราคา 3-5 ล้านบาทต่อยูนิตที่นอกจากจะไม่ได้รับผลกระทบมากนักจากสงครามราคารอบนี้แล้ว ปัญหาในการขอสินเชื่อสำหรับกลุ่มนี้ก็จะค่อนข้างน้อยด้วย

ส่วนกลุ่มบ้านแนวราบ ทั้งบ้านเดี่ยวและ ทาวน์เฮ้าส์ที่แม้จะไม่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวเหมือนกับคอนโดมิเนียม แต่ตลาดเองก็กลับอยู่ในทิศทางที่หดตัวลงไม่ต่างกัน ส่วนหนึ่งมาจากอุปสงค์ที่ชะลอลงลากยาวมาตั้งแต่ช่วงปลายปี 67

อย่างไรก็ตาม การก่อสร้างภาคเอกชน ในส่วนของภาคอุตสาหกรรมไม่ว่าจะเป็นการสร้างโรงงาน นิคมอุตสาหกรรม หรือโกดังสินค้าอาจจะยังพอไปได้ ด้วยทิศทางของ FDI ที่โมเมนตัมดีต่อเนื่องจากปีก่อนและขยายตัวได้ในไตรมาสแรก นับเป็นความหวังของการก่อสร้างภาคเอกชน ท่ามกลางสถานการณ์ที่ตลาดอสังหาริมรัพย์กลุ่มที่อยู่อาศัยอยู่ในช่วงน่าเป็นห่วงและอาจยังไม่สามารถฟื้นตัวกลับมาได้ในเร็ววัน

*ตลาดรถยนต์ใหม่ยังไร้ทางออก

ยอดขายรถยนต์ใหม่มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องจากปีก่อน โดยยอดขายรถยนต์ส่วนบุคคลปีนี้น่าจะอยู่ที่ราว 530,000 คันลดลงจาก

572,675 คันในปีก่อน ขณะที่กำลังซื้อในประเทศอ่อนแอ การปล่อยสินเชื่อเข้มงวดตามปัญหาด้านเครดิตของผู้กู้ ขณะที่สัดส่วนยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า (EV) จะเพิ่มขึ้นที่ราว 14% ของรถยนต์ส่วนบุคคลทั้งหมด เทียบกับปีก่อนหน้าที่ 12% และมีแนวโน้มว่าสัดส่วนนี้จะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะหากยอดขายรถยนต์ประเภทสันดาปหดตัวแรงกว่ารถ EV และต้องติดตามปัญหาสงครามราคารถ EV ว่าจะมีต่อเนื่องปีนี้หรือไม่ ซึ่งจะยิ่งทำให้ยอดขายรถยนต์สันดาปทั่วไปลดลงอีกได้จากการขาดแรงจูงใจเมื่อเทียบรถ EV

ขณะที่ตลาดรถยนต์มือสองอาจเผชิญปัญหายอดขายซบเซา เนื่องจากคนเลือกที่จะใช้รถเก่านานขึ้นหรือเลื่อนการเปลี่ยนรถ ประกอบกับการพิจารณาสินเชื่อที่เข้มงวด อย่างไรก็ดี ยังมีโอกาสในตลาดรถยนต์มือสองจากการที่คนหันมาซื้อรถยนต์มือสองในช่วงอายุต่ำกว่า 5 ปีแทนการออกรถยนต์ใหม่ ด้วยเหตุผลด้านกำลังซื้อ ตลาดนี้จึงมีโอกาสในกลุ่มมนุษย์เงินเดือนและกลุ่มที่มีเครดิตดีพร้อมกู้เท่าที่จำเป็น สำหรับประเภทรถยนต์มือสองที่มีศักยภาพ คือ รถยนต์นั่ง (Sedan) และรถตู้ (Passenger Van) ในพื้นที่หัวเมืองหลักและเมืองท่องเที่ยวสำคัญ

*การท่องเที่ยว - พระเอกที่หลบซีน

นักท่องเที่ยวจีนหายไปราว 33% ช่วง 5 เดือนแรก นักท่องเที่ยวมาเลเซียเริ่มลดลง แม้นักท่องเที่ยวอินเดียและรัสเซียจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แต่ไม่อาจชดเชยจำนวนนักท่องเที่ยวจีนได้ คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวปีนี้ 34.5 ล้านคน ลดลงจาก 35.5 ล้านคน แม้รายจ่ายต่อหัวเพิ่มขึ้น แต่การท่องเที่ยวไม่ใช่ปัจจัยสนับสนุนเศรษฐกิจ

ทั้งนี้ พื้นที่กรุงเทพน่าจะได้รับผลกระทบมากที่สุดตามด้วยพัทยาและเชียงใหม่ เพราะเป็นจุดหมายหลักของนักท่องเที่ยวจีน ส่วนโซนภาคใต้ โดยเฉพาะภูเก็ต กระบี่ และสมุย น่าจะยังฟื้นตัวต่อได้ช่วงปลายปีซึ่งเป็นฤดูกาลท่องเที่ยวของชาวยุโรป

การที่รายได้ท่องเที่ยวแทบไม่เติบโต จะกระทบต่อกลุ่มโรงแรม ร้านอาหาร การใช้จ่ายด้านอาหาร เครื่องดื่ม ขนส่ง ค้าปลีกและค้าส่ง ซึ่งการแข่งขันและต้นทุนเพิ่มสูงขึ้น มาตรการท่องเที่ยวเมืองรองทำได้เพียงประคองสถานการณ์ไม่ให้ทรุดไปมากกว่านี้ หากเจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวไทยที่ใช้จ่ายน้อยก็พอจะชดเชยกลุ่มนักท่องเที่ยวกรุ๊ปทัวร์จากจีนที่หายไปได้บ้าง และกลุ่มโรงแรมประเภทสามดาวหรือโรงแรมประเภทประหยัดน่าได้ประโยชน์ แต่สิ่งที่จะช่วยฟื้นฟูการท่องเที่ยวได้ดีน่าจะมาจากการเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้นักท่องเที่ยว สร้างความปลอดภัยในประเทศ ปรับปรุงการบังคับใช้กฎหมายให้เข้มงวดกับผู้กระทำผิดต่อนักท่องเที่ยว พร้อมกับหาเส้นทางบินใหม่ๆ และลดข้อจำกัดด้านวีซ่าแก่นักท่องเที่ยว

*การเมืองกดดันเศรษฐกิจ หลังนายกฯ หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว

ความไม่แน่นอนทางการเมืองกำลังกดดันเศรษฐกิจไทย 3 เรื่องหลัก ได้แก่

(1) ความเชื่อมั่นภาคเอกชนถดถอย ส่งผลให้นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศชะลอการลงทุน อีกทั้งเอกชนอาจระมัดระวังมากขึ้นโดยเฉพาะโครงการที่ต้องพึ่งพางบประมาณภาครัฐ โดยเฉพาะภาคการก่อสร้าง อย่างไรก็ตามหากรัฐบาลสามารถรักษาเสถียรภาพและความต่อเนื่องของนโยบายได้ความเชื่อมั่นอาจไม่ลดลงมากนัก แต่ให้ระวังเสถียรภาพรัฐบาลหากพรรคร่วมมีแรงกดดันให้ทบทวนจุดยืนหรือเกิดการถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล อาจนำไปสู่การยุบสภาในที่สุดแต่ตอนนี้ยังไม่ใช่ผลกระทบในระยะสั้นในทันที

(2) การขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจอาจจำกัดขึ้น แม้การหยุดปฏิบัติหน้าที่ของนายกฯ ไม่น่ามีผลต่อการเบิกงบประมาณรายจ่ายโดยเฉพาะการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เนื่องจากรัฐบาลยังมีอำนาจเต็ม ไม่ใช่รัฐบาลรักษาการระหว่างรอเลือกตั้งรองนายกฯ สามารถผลักดันโครงการต่างๆ ได้ แต่การตอบสนองต่อเงินจากมาตรการทางการคลังที่ใส่ไปในระบบเศรษฐกิจอาจมีประสิทธิผลน้อยลงหากความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดลงจากความไม่แน่นอนทางการเมือง แต่หากการเมืองเดินหน้าไปสู่การยุบสภาฯ ก็อาจกระทบต่องบประมาณในปี 2569 ที่อาจล่าช้ากระทบเศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาส 4 ถึงไตรมาส 2 ปีหน้า

และ (3) ผลกระทบต่อการเจรจาการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการเจรจาให้สหรัฐลดอัตราภาษีนำเข้าจากไทย แม้อาจจะไม่กระทบในระยะสั้น ซึ่งตัวแทนการเจรจาระหว่างไทยกับสหรัฐน่าจะได้พบคุยกันตามกำหนดการเดิม แต่ห่วงว่าสหรัฐอาจใช้ประเด็นเสถียรภาพการเมืองไทยในการต่อรองเงื่อนไขทางการค้ามากขึ้น สำหรับทางออกรัฐบาลจำเป็นต้องเร่งสร้างความชัดเจนเรื่องการปรับเปลี่ยนผู้นำประเทศด้วยการแสดงวิสัยทัศน์และแผนงานที่ชัดเจนเพื่อไม่ให้การเมืองกลายเป็นตัวฉุดรั้งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในช่วงเวลาสำคัญนี้

*ทรัมป์ป่วนโลก (อีกครั้ง)

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เตรียมประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนและอีกหลายประเทศรอบใหม่ในเดือนกรกฎาคม เพื่อตอบโต้ที่สหรัฐขาดดุลการค้า แม้อัตราภาษีที่จะจัดเก็บจะน้อยกว่าที่เคยประกาศไว้ในเดือนเมษายน ขณะเดียวกัน ทรัมป์น่าจะยังคงเก็บอัตราภาษีที่ 10% กับชาติที่สหรัฐเกินดุลการค้าด้วย แต่อาจมีข้อยกเว้นในบางสินค้า ขึ้นอยู่กับการต่อรองแลกเปลี่ยนที่แต่ละประเทศจะนำเข้าสินค้าจากสหรัฐเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ทรัมป์น่าจะจัดเก็บภาษีสินค้าบางรายการในอัตรา 10-25% เพื่อสร้างอุตสาหกรรมในประเทศและลดแรงจูงใจในการนำเข้า เช่น เหล็ก อลูมิเนียม ยานยนต์และชิ้นส่วน หรืออาจครอบคลุมถึงกลุ่มเวชภัณฑ์ในอนาคต

หากสถานการณ์รุนแรงหรือจัดเก็บภาษีสูงกว่าคาด อาจมีผลกระทบทางอ้อมต่อไทยในฐานะประเทศในห่วงโซ่การผลิต โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับจีนหรือมีการนำเข้าจากจีนเพื่อส่งออกไปยังสหรัฐ ซึ่งจะกดดันภาคส่งออกไทยในช่วงที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกยังเปราะบาง

ทั้งนี้ ไทยน่าเร่งขยายตลาดการค้าใหม่กระชับความร่วมมือในภูมิภาคอาเซียนและใช้อาเซียนเพิ่มอำนาจต่อรองของไทยต่อสหรัฐ ขณะเดียวกันไทยสามารถใช้อาเซียนต่อรองกับจีนในการลดการใช้ไทยเป็นทางผ่านของสินค้าส่งออกไปสหรัฐ โดยที่ไทยไม่ได้มูลค่าเพิ่มจากการผลิตสินค้ามากเท่าที่ควรดังเห็นได้จากดัชนีภาคการผลิตของไทยต่ำ ฟื้นตัวได้น้อยต่างกับการส่งออกในช่วงที่ผ่านมาขยายตัวได้ดีและการนำเข้าเร่งตัวขึ้นสูงตาม มองต่อไป คาดว่าส่งออกจะเริ่มขยายตัวต่ำช่วงไตรมาส 3 และพลิกไปหดตัวในช่วงไตรมาส 4 ส่งผลให้ทั้งปีการส่งออกขยายตัวได้เพียง 3.5%

*อิหร่านเอาคืน

ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง สถานการณ์ระหว่างอิหร่านกับอิสราเอลและชาติพันธมิตร แม้จะบรรเทาลงแต่หากไฟสงครามปะทุขึ้นอีกก็อาจกดดันให้ราคาน้ำมันผันผวนเกิดเป็นแรงกดดันใหม่ต่อเศรษฐกิจโลกและไทย หากราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นเหนือ 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล จากสถานการณ์ในตะวันออกกลางยืดเยื้อและส่งผลให้การขนส่งน้ำมันผ่านช่องแคบฮอร์มุซถูกกระทบจริงก็อาจเกิดภาวะช็อกด้านอุปทานที่ทำให้เงินเฟ้อกลับมาพุ่งสูงอีกระลอกสร้างต้นทุนให้ผู้ประกอบการและเพิ่มภาระค่าครองชีพของประชาชนส่งผลให้กำลังซื้อในประเทศชะลอลง ขณะเดียวกันธนาคารกลางหลายประเทศ โดยเฉพาะในเอเชียจะเผชิญทางเลือกที่ยากลำบากระหว่างการคงดอกเบี้ยเพื่อควบคุมเงินเฟ้อจากต้นทุนน้ำมันกับความจำเป็นในการผ่อนคลายนโยบายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

*กนง. ตรึงดอกเบี้ยไม่อยู่

นโยบายดอกเบี้ยของไทยอยู่ในภาวะที่ท้าทายอย่างมาก แม้อัตราเงินเฟ้อจะต่ำกว่ากรอบเป้าหมายมาต่อเนื่อง แต่ กนง.ยังไม่รีบปรับลดดอกเบี้ยโดยให้เหตุผลเรื่องการรักษาเสถียรภาพในระยะยาวและความจำเป็นในการสะสม "ขีดความสามารถในการดำเนินนโยบาย" เพื่อรองรับความเสี่ยงในอนาคต

อย่างไรก็ตาม ความล่าช้าในการผ่อนคลายนโยบายอาจสร้างแรงกดดันต่อเศรษฐกิจจริง โดยเฉพาะในช่วงที่การบริโภคและการลงทุนยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่และภาระหนี้ภาคครัวเรือนอยู่ในระดับสูง ขณะที่ประเทศคู่ค้าในเอเชียหลายแห่งเริ่มส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่อ่อนแรง

สำนักวิจัยฯ มองว่า ธปท.ควรพิจารณาน้ำหนักของเศรษฐกิจจริงมากขึ้น โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ปัจจัยเชิงโครงสร้างและความเสี่ยงภายนอกกำลังกดดันการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า จึงคาดว่า กนง.จะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายสู่ระดับ 1.50% ในรอบการประชุมเดือนสิงหาคมและลดอีกครั้งเหลือ 1.25% ในรอบการประชุมธันวาคม

*บาทอ่อนสะท้อนปัจจัยเสี่ยงต่างประเทศ

แนวโน้มค่าเงินบาทไตรมาส 3 ยังคงผันผวนท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงทั้งในและนอกประเทศ แม้ที่ผ่านมาเงินบาทจะอ่อนค่าจากเงินทุนไหลออกและความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศและตะวันออกกลาง แต่เมื่อดูจากต้นปี 2568 จะพบว่าเงินบาทแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐสะท้อนการที่นักลงทุนทั่วโลกเริ่มลดความเชื่อมั่นต่อดอลลาร์สหรัฐจากนโยบายกีดกันทางการค้าของทรัมป์

ขณะเดียวกันเงินบาทได้แข็งค่ามากกว่าประเทศเพื่อนบ้านในบางจังหวะ หากราคาทองคำพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากไทยเป็นผู้ค้าทองคำ โดยเมื่อราคาทองสูงขึ้น ผู้ค้าทองจะส่งออกมากขึ้นและรับเงินดอลลาร์กลับเข้ามาในระบบส่งผลให้เกิดแรงซื้อเงินบาทในตลาดเงินชั่วคราวและทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเร็วโดยไม่สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจในระยะสั้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออกไทย โดยเฉพาะในภาวะที่เศรษฐกิจโลกชะลอตัวและการแข่งขันด้านราคาสูงขึ้น

คาดว่าไตรมาส 3 เงินบาทมีโอกาสพลิกกลับมาอ่อนค่าได้เล็กน้อยเทียบดอลลาร์สหรัฐจากความกังวลด้านสงครามการค้า ประมาณการค่าเงินบาทไว้ที่ 32.90 ปลายไตรมาส 3 และ 33.30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐปลายปีนี้


แหล่งที่มา : RYT9

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

The information in the above report, publication and website has been obtained from sources believed to be reliable. However, Iron & Steel Institute of Thailand does not guarantee the accuracy, adequacy or completeness of the information. Any opinions or forecasts regarding future events may differ from actual events or results. In addition, Iron & Steel Institute of Thailand reserves the right to make changes and corrections to the information, including any opinions or forecasts, at any time without notice.